4 ข้อหยุดพฤติกรรมเรียกร้องของเด็กยุคใหม่

4 ข้อหยุดพฤติกรรมเรียกร้องของเด็กยุคใหม่

โดย อาจารย์มาณวิกา สงวนวงศ์


ด้วยความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัจจุบันทำให้เด็ก ๆ ได้รับสารผ่านสื่อในหลากหลายรูปแบบ ประกอบกับที่คุณพ่อคุณแม่มีเวลาให้ลูกน้อยนิด จึงทำให้เด็ก ๆ สมัยนี้เรียกร้องอะไรต่าง ๆ มากมาย และที่สำคัญคือขาดการมองกลับพิจารณาการกระทำของตนมีส่วนผิดหรือถูกอย่างไร
ที่ถนัดที่สุดของเด็ก ๆ ก็คือ การกล่าวโทษผู้ใหญ่ที่รู้ว่ารักตนมาก ๆ นั่นก็คือ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย พี่เลี้ยง ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไม่กินอาหารเพราะปรุงไม่อร่อย เรื่องการมาโรงเรียนสายเพราะแม่ปลุกช้า ทำการบ้านผิดเพราะพ่อไม่มาตรวจทานให้ คะแนนสอบไม่ดีเพราะพ่อแม่ไม่ส่งไปติว เป็นต้น
สำหรับใครที่กำลังเจอปัญหาที่ว่า ลองใช้ขั้นตอนต่อไปนี้หยุดพฤติกรรมเรียกร้องของเด็ก ๆ ที่บ้านกันนะคะ
ฝึกให้รู้จัก “การขอ”

ข้อนี้ทำไม่ยากเพราะเด็กถนัดอยู่แล้ว เพียงแต่การขอจะต้องคำนึงถึงกาละเทศะ บุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น การพาเด็กไปซุปเปอร์มาร์เก็ต เขาจะรู้ทันทีว่ามีอาหารอร่อย ของใช้สวย ๆ มากมาย และเมื่อเข็นรถผ่านชั้นวางของต่าง ๆ มือเล็ก ๆ ก็จะหยิบฉวยของใส่รถเข็นโดยไม่สนใจว่าราคาเท่าไร มีประโยชน์แค่ไหน บางครั้งคุณพ่อคุณแม่ยังไม่รู้เลยว่าใครเอามาใส่ไว้ในรถเข็น รู้อีกทีก็ตอนชำระเงินแล้ว
ลองปรับเปลี่ยนด้วยการถือแต้มเหนือกว่าดูนะคะ โดยตั้งกติกาก่อนเดินทาง ถ้าไปถึงแล้วแม่อนุญาตให้หนูเลือกของได้เพียงหนึ่งอย่างเท่านั้น (ถ้าโตหน่อยก็คุมเพดานมูลค่าของสินค้าได้อีก) ถ้าไม่ตกลงจะไม่เอาไปด้วย อย่างนี้เจ้าตัวดีก็จำต้องพยักหน้ายอมรับ และเมื่อไปถึงก็ต้องแน่วแน่ไม่ใจอ่อน เพราะถ้าสำเร็จครั้งหนึ่งแล้วต่อไปสบายมากค่ะ
ฝึกให้รู้จัก “รอ”

คำนี้เป็นคำสั้น ๆ ที่มีความหมายมากและไม่ค่อยจะมีในพจนานุกรมของเด็กสมัยนี้ ส่วนใหญ่จะมีแต่คำว่า “เดี๋ยวนี้” “ต้องให้นะ”
เมื่อเด็กขอสิ่งของ ขนม หรือของใช้ที่อยากได้ คุณควรจะตกลงกันให้เข้าใจว่าการเอ่ยปากขอ ไม่ได้หมายความว่าต้องได้ทันที ขึ้นอยู่กับเวลาและเงินในกระเป๋าด้วย หรือเหตุผลอื่น ๆ ที่เด็กต้องให้ความเคารพในเหตุผลว่าให้รอถึงเมื่อไหร่ แต่ถ้าบอกเขาไปแล้วต้องรักษาคำพูดให้ตรงเวลาด้วยนะคะ นอกจากจะมีเหตุจำเป็นต้องอธิบายให้ชัดเจนค่ะ
ยกตัวอย่าง น้องแทนเห็นเพื่อนมีสีแท่งสวยกล่องใหญ่ ก็อยากจะได้บ้าง พอไปเดินห้างเห็นสีแบบนั้นจึงร้องขอทันที ถ้าหากคุณตามใจเด็กก็จะตัดสินใจซื้อให้
แต่ถ้าเห็นว่า เขายังมีสีกล่องเล็กที่บ้านอยู่เต็มกล่อง จึงยังไม่จำเป็นต้องซื้อใหม่ ก็ควรจะบอกลูกว่า “แม่ก็อยากซื้อให้นะลูก เพียงแต่ลูกยังมีสีกล่องเล็กที่ยังไม่หมด ไว้ลูกใช้ให้หมดก่อนแม่จะซื้อให้นะจ๊ะ” หรือ “แม่มีเงินจำกัดนะลูกเดือนนี้จ่ายค่าขนมของลูกไปมากแล้ว เอาไว้ก่อนนะ เดี๋ยวเงินค่าขนมของหนูจะหมดก่อน” หรือ จะใช้ลูกยุให้เก็บเงินค่าขนมเอาไว้ซื้อเอง โดยคุณออกให้บางส่วนก็ได้ค่ะ
ฝึกให้รู้จัก “รับ”

เมื่อขอแล้ว รอแล้ว พอได้รับของหรือการกระทำใดๆที่พ่อแม่ทำให้แล้ว เด็กก็มีหน้าที่ต้อง “รับ” อย่างเหมาะสมเริ่มต้นที่การกล่าวขอบคุณ ไหว้อย่างสวยงาม การใช้คำอย่างคุ้มค่า ใช้ของอย่าทะนุถนอม รู้จักเก็บรักษา ไม่ทิ้งขว้าง และหากเขาทำได้ ก็จะได้รับการตอบสนองในทางที่ดี เช่น คำชมเชยและความไว้ใจ แต่บางครั้ง ก็จำเป็นต้องให้ลูกรับรู้ว่าสิ่งที่เขาร้องขอนั้น พ่อแม่อาจให้ไม่ได้ด้วยเหตุผลต่างๆ ซึ่งควรพูดคุยอธิบายให้เข้าใจ การฝึกให้ลูกได้รับความผิดหวังบ้างในเหตุการณ์ที่เหมาะสม จะทำให้เขา “แกร่ง” ขึ้น พร้อมที่จะรับมือกับการถูกปฎิเสธได้ดีขึ้นในตอนโต
ฝึกให้รู้จัก “ให้”

กระบวนการ 4 ขั้นตอนนี้จะสมบูรณ์ไม่ได้ หากขาดข้อนี้ค่ะ แต่คนที่รู้จัก “แบ่งปัน” หรือ “ให้” นั้นต้องเป็นคนที่เคยได้รับมาก่อน ถ้าเด็กเติบโตขึ้นมาท่ามกลางการกดขี่ห่มเหง คงเป็นการยากที่จะให้เด็กคนนั้นรู้จักแบ่งปันสิ่งของกับผู้อื่นโดยง่าย ตรงกันข้ามกับเด็กที่รับความรัก ความอบอุ่นจากทางบ้านอย่างดี เมื่อเข้าสังคมก็พร้อมที่จะ “ให้” คืนกลับสู่สังคมได้ดีกว่า
“ขอ” “รอ” “รับ” และ “ให้” เป็น 4 คำสั้นๆที่มีความหมายใหญ่หลวงนัก เป็น 4 คำที่จะสามารถปลูกฝังในจิตใจเด็กๆให้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์มีค่าในสังคมได้ หากเด็กรู้จักแต่รับโดยไม่รู้จักรอ ก็จะฝึกนิสัยให้เป็นคนวางโต เมื่อฉันอยากได้อะไรฉันต้องได้ ถ้าเด็กรู้จักแต่การขอ ก็จะกลายเป็นคนที่รู้มากห่วงแต่ตนเอง เห็นแก่ตัว โดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น